วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศสำหรับออฟฟิศ

Blast Mini HEPA filter air purifier in office for protection against COVID coronavirus

การมีเครื่องฟอกอากาศในออฟฟิศช่วยลดการแพร่กระจายของ COVID-19 ได้อย่างมาก แต่จะเลือกเครื่องฟอกอากาศยังไงให้เหมาะกับแต่ละที่ทำงาน บทความนี้เราจะพามาดูทีละขั้นตอนในการเลือกเครื่องฟอกอากาศเพื่อลด COVID-19 ฉบับชาวออฟฟิศกัน

6 ขั้นตอนเลือกเครื่องฟอกอากาศสำหรับออฟฟิศ

ขั้นตอนที่ 1: วัดขนาด (ปริมาตร) ของ Office

ก่อนเลือกเครื่องฟอกอากาศ เราต้องรู้ก่อนว่าเราต้องกรองอากาศออกมากแค่ไหน

เริ่มจากวัดพื้นที่พื้นของออฟฟิศเป็นหน่วยตารางฟุตหรือตารางเมตร จากนั้นคูณด้วยความสูงของออฟฟิศเพื่อให้ได้ปริมาตรทั้งหมด หากใช้หน่วยลูกบาศก์ฟุต ให้หารด้วย 35 เพื่อให้ได้ขนาดของออฟฟิศเป็นหน่วยลูกบาศก์เมตร

ขั้นตอนที่ 2: คำนวณ CADR ที่จำเป็นเพื่อกรองอากาศในออฟฟิศ

ต่อไป เราต้องคำนวณว่าเราต้องใช้ “กำลัง” เท่าไหร่จากเครื่องฟอกอากาศ ปริมาณของอากาศที่เครื่องฟอกอากาศสามารถทำความสะอาดได้ในช่วงเวลาที่กำหนดคือระดับ CADR ยิ่งค่า CADR สูงเท่าไร เครื่องฟอกอากาศก็ยิ่งสามารถทำความสะอาดได้ต่อชั่วโมงมากขึ้นเท่านั้น

ในการคำนวณ CADR เริ่มจากคูณปริมาตรของออฟฟิศด้วย 2 ผลลัพธ์คือต้องใช้ CADR (ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง) จากเครื่องฟอกอากาศเพื่อกรองอากาศในออฟฟิศ

เหตุผลที่เราคูณด้วย 2 เพราะ ASHRAE (“Ventilation for Acceptable Indoor Air Quality” หรือมาตรฐานที่นิยมใช้อ้างอิงในการออกแบบเพื่อสุขอนามัยของคนในอาคาร) แนะนำให้อากาศในออฟฟิศทำความสะอาด 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง เราเลยจำเป็นต้องเลือกเครื่องฟอกอากาศที่แรงพอจะทำความสะอาดอากาศได้ถี่ตามแนะนำ

ขั้นตอนที่ 3: เลือกเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ HEPA และมีค่า CADR สูง

การวัดเรต CADR สามารถวัดได้สองแบบ คือ ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (CMH) หรือลูกบาศก์ฟุตต่อนาที (CFM) ค่า CADR ที่คำนวณข้างต้นใช้หน่วยลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (CMH) ดังนั้นการใช้หน่วยให้ถูกต้องสำคัญอย่างมาก

หมายเหตุ: หากให้เฉพาะ CFM เราสามารถแปลงเป็น CMH ได้โดยการคูณด้วย 1.7

CADR ของเครื่องฟอกอากาศที่มีกำลังแรงทั่วไปมักอยู่ในช่วง 500-900 ลบ.ม./ชม. หากต้องการค่า CADR ที่สูงกว่านี้ เราอาจต้องใช้เครื่องฟอกอากาศหลายเครื่อง

ซึ่งเรต CADR ของเครื่องฟอกอากาศวัดเมื่อเปิดทำงานเครื่องในระดับสูงสุด อย่างไรก็ตามเครื่องฟอกอากาศหลายๆรุ่นเมื่อทำงานในโหมดสูงสุดอาจส่งเสียงค่อนข้างดังและรบกวนออฟฟิศได้ (ดูขั้นตอนที่ 6)

ขั้นตอนที่ 4: เลือกเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ HEPA และหลีกเลี่ยงฟีเจอร์เสริม

เครื่องฟอกอากาศที่กำจัด COVID-19 ได้ดีและเหมาะกับออฟฟิศที่สุดคือ เครื่องฟอกอากาศที่มาพร้อมแผ่นกรอง HEPA ซึ่งแผ่นกรอง HEPA มีประสิทธิภาพสูงในการกรองอนุภาคที่มีขนาดเท่ากับ COVID-19

“เครื่องฟอกอากาศเกรดการแพทย์” ไม่จำเป็นอย่างยิ่งและเป็นเพียงการตลาดเท่านั้น

เมื่อเลือกเครื่องฟอกอากาศสำหรับออฟฟิศ ให้หลีกเลี่ยงฟีเจอร์เสริม เช่น แสงยูวีและไอออไนเซอร์ เพราะฟีเจอร์เหล่านี้ไม่เพียงแค่เพิ่มค่าใช้จ่ายแต่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพให้กับผู้ทำงานในออฟฟิศอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม: เครื่องฟอกอากาศที่ไม่เหมาะสำหรับออฟฟิศ

ขั้นตอนที่ 5: พิจารณาต้นทุนและอายุการใช้งานของแผ่นกรอง

การพิจารณาค่าใช้จ่ายและอายุการใช้งานของตัวกรอง HEPA ก็สำคัญไม่ต่างกัน บริษัทเครื่องฟอกอากาศหลายแห่งไม่ได้ให้คำแนะนำเรื่องการเปลี่ยนแผ่นกรอง HEPA อย่างโปร่งใส แต่เราสามารถการคำนวณค่าใช้จ่ายประจำปีของการเปลี่ยน HEPA อย่างคร่าวๆได้ด้วยตัวเองเพื่อเปรียบเทียบต้นทุนของเครื่องฟอกอากาศที่ต้องการซื้อได้

ขั้นตอนที่ 6: พิจารณาระดับเสียง

เครื่องฟอกอากาศหลายรุ่นอาจส่งเสียงรบกนเมื่อเปิดใช้งานในระดับสุด แต่หากต้องการใช้งานในออฟฟิศระดับเสียงจึงเป็นเรื่องสำคัญ เราสามารถเช็คความดังของเครื่องฟอกอากาศได้โดยการตรวจสอบระดับเสียง (หน่วยเดซิเบล dB) ซึ่ง Smart Air แนะนำให้เลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีระดับเสียงราวๆ 50 เดซิเบล และหากเกิน 60 เดซิเบล อาจก่อให้เกิดการรบกวนการทำงานได้

ในการเช็คระดับเสียงของเครื่องฟอกอากาศ ควรเช็คเมื่อเครื่องฟอกอากาศทำงานในระดับความแรงสูงสุด เนื่องจากบริษัทเครื่องฟอกอากาศบางแห่งทำการตลาดเกี่ยวกับระดับเสียงแต่ไม่ได้เปิดในระดับแรงสุดจึงอาจทำให้เข้าใจผิดได้

อ่านเพิ่มเติม: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศในออฟฟิศ

ตัวอย่าง: การเลือกเครื่องฟอกอากาศสำหรับออฟฟิศ

มาดูตัวอย่างการเลือกเครื่องฟอกอากาศสำหรับออฟฟิศขนาด 45 x 45 ฟุต (13.7 x 13.7 เมตร) และเพดาน 9 ฟุต (2.7 เมตร) กัน

ขั้นตอนที่ 1: คำนวณปริมาตรของสำนักงานเป็นเมตร: 13.7 x 13.7 x 2.7 = 507 ลูกบาศก์เมตร

ขั้นตอนที่ 2: คูณปริมาตรด้วย 2: 507 ลูกบาศก์เมตร x 2 = 1,014 ดังนั้นเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมควรทำความสะอาดอากาศได้อย่างน้อย 1,014 ลบ.ม./ชม.

ขั้นตอนที่ 3: เลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีค่า CADR ประมาณ 1,014 ลบ.ม./ชม. เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่ไม่มีค่า CADR ที่สูงมาก การใช้เครื่องฟอกอากาศสองเครื่องจึงเป็นทางเลือกที่ดี

หมายเหตุ หากค่า CADR ใช้หน่วยลูกบาศก์ฟุต ให้คูณค่าที่ได้ด้วย 1.7 เพื่อให้ได้ CADR ในหน่วย ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง

เครื่องฟอกอากาศ Blast ของ Smart Air มีค่า CADR 890 ลบ.ม./ชม. ซึ่งใกล้เคียงกับ 1,014 ลบ.ม./ชม. ที่คำนวณก่อนหน้า ดังนั้นการใช้เครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กอย่าง Sqair ควบคู่จะทำให้ค่า CADR ทั้งหมดมากกว่า 1,014 ลบ.ม./ชม. ซึ่งเพียงพอต่อการทำความสะอาดอากาศในห้องขนาดดังกล่าว

ขั้นตอนที่ 4,5,6: สุดท้าย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องฟอกอากาศที่เลือกมีแผ่นกรอง HEPA และไม่มีการเพิ่มเทคโนโลยีที่เป็นลูกเล่น รวมถึงคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแผ่นกรอง และตรวจสอบว่าเครื่องฟอกอากาศมีระดับเสียงที่ยอมรับได้ (มากกว่า 60 dB อาจรบกวนการทำงานในออฟฟิศส่วนใหญ่)


Smart Air ปกป้องออฟฟิศทั่วโลกอย่างไร

Smart Air เป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองจาก B Corp และมุ่งมั่นที่จะทำให้ออฟฟิศปลอดภัยมลพิษอากาศ เครื่องฟอกอากาศ Blast และ Blast Mini ของ Smart Air ติดตั้งในออฟฟิศทั่วโลก เช่น ออฟฟิศของ BBC, Ford, Zomato และอื่นๆ อีกมากมาย

เครื่องฟอกอากาศ Blast อันทรงพลังของ Smart Air มีการไหลเวียนของอากาศสูงและสามารถทำความสะอาดสำนักงานได้ขนาดสูงสุด 130 ตร.ม. (1400 ตารางฟุต) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสำนักงานเพราะเป็นหนึ่งในเครื่องฟอกอากาศที่เงียบที่สุดในตลาด

Subscribe
Notify of
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments
Smart Air low cost purifiers

Smart Air เป็นธุรกิจเพื่อสังคม ที่จัดสรรอากาศสะอาดให้คุณอย่างเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด และให้ความรู้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้คุณมีสุขภาพที่ดีและป้องกันผลกระทบจากมลพิษอากาศ และเรายังได้รับการรับรองว่าเป็นธุรกิจ B-Corp ในเรื่องของการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศอีกด้วย

Certified B-Corp air purifier company