เราสูดอากาศที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกายมากแค่ไหนในแต่ละวัน หน้ากากและเครื่องฟอกอากาศมีประโยชน์กับสุขภาพของเราจริงหรือ เรามีความต้องการใช้ทั้งสองอย่างเลยหรือไม่ คำตอบก็คือ เราใช้ชีวิตที่ไหนและอย่างไรมากที่สุดในแต่ละวัน
มันมีทฤษฎีที่เป็นไปได้อยู่ 2 อย่าง: การสวมใส่หน้ากากอาจดูมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อคุณใช้ชีวิตอยู่ในที่แจ้งเพราะโดยปกติแล้วจะมีค่า PM2.5 สูงกว่าพื้นที่ในสถานที่ปิด ( เกือบมากกว่า 2 เท่าด้วยซ้ำจากผลการทดสอบที่เราทำมา ) แต่ในทางกลับกัน เรามักจะใช้ชีวิตในสถานที่ปิดมากกว่า หรือนั่นอาจหมายความว่า เครื่องฟอกอากาศจะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
ในการจะหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ ผมจึงต้องการค้นคว้าว่า เราสูดอากาศที่สกปรกเข้าไปมากน้อยเพียงใดในแต่ละวัน
เราออกไปเที่ยวที่ไหนมากที่สุด
อ้างอิงสถิติจากกระทรวงแรงงานของสหรัฐ (US Bureau of Labor) นี่คือสถิติโดยประมาณของคนทำงานที่มีอายุระหว่าง 25-45 ปี ใน 4 สถานที่ที่พวกเขาใช้ชีวิตมากที่สุด
อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่นี่ ( Out and About คือสถานที่เช่น ร้านอาหาร, โรงภาพยนต์และสถานที่ออกกำลังกาย)
จริงๆแล้วมันก็เหมือนกับชีวิตของผมเลยนะ ส่วนใหญ่แล้วผมจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในบริษัทหรือที่บ้านในการนอน (อย่าหาว่าผมขี้เกียจเลย!)
ส่วนมากแล้วพวกเราไม่สามารถควบคุมการสูดอากาศเข้าไปในร่างกายได้ที่ร้านอาหาร บาร์ หรือสถานที่ออกกำลังกาย แต่เราสามารถควบคุมการสูดอากาศเข้าไปในร่างกายได้ที่บ้าน สถานที่แจ้ง และ(หวังว่า)บริษัทของเรา (หรือจะพูดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าคุณโชคดีพอที่บริษัทของคุณจะเป็นเหมือนบริษัท Smart Air ของเรา!)
โดยรวมแล้ว เราใช้เวลาประมาณ 80% ใน 3 สถานที่เหล่านี้ ซึ่งก็หมายความว่า เราสามารถควบคุม 80% ของการสูดอากาศเข้าไปในร่างกายของเราได้และมันก็ไม่ได้แย่นะ
การตรวจเช็คอนุภาค
คำถามต่อไปก็คือ: หากว่าเราไม่ได้ใส่หน้ากากหรือไม่มีเครื่องฟอกอากาศ เราจะสามารถสูดอากาศที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกายได้มากน้อยแค่ไหนใน 4 สถานที่เหล่านี้
ก่อนอื่นเลย เราต้องประเมินค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของ PM2.5 ในสถานที่ที่เราอยู่ว่ามีมากน้อยแค่ไหน จะหยิบยกตัวอย่างมาจาก ปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี 2016ที่มีค่าเฉลี่ย PM2.5 อยู่ที่ 72 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเมื่อเราอยู่ในสถานที่โล่งแจ้ง ซึ่งถือว่าสูงมาก แต่ในทางกลับกันเมื่อเราอยู่ในสถานที่ปิด ค่าเฉลี่ยมันลดลงมาถึงประมาณครึ่งนึงเลยทีเดียว
ด้วยสิ่งนี้และรู้ว่าเราหายใจด้วยอากาศระหว่าง 4.5-42.5 ลิตรต่อนาที (ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำ) เราก็จะสามารถหาจำนวน PM2.5 ที่เราหายใจในหนึ่งวัน
สรุปแล้วมีสูงถึง 220,000,000 อนุภาค!
ว้าว, เราหายใจเอาอนุภาคละเอียดอย่าง PM2.5 เข้าไปในร่างกายถึง 220 ล้านอนุภาคในแต่ละวัน หรือประมาณมากกว่า 2,500 อนุภาคต่อวินาที และเมื่อพิจารณาแล้วในหนึ่งวันเราหายใจเอาอนุภาค PM2.5 เข้าไปในร่างกายถึง 622 ไมโครกรัมเลยทีเดียวนะ!
ทีนี้ หน่วยไมโครกรัมมันมีขนาดเล็กมาก ดังนั้นมันก็มีขนาดเท่ากับเมล็ดข้าวเม็ดที่ 1ใน20 เม็ด หรือพูดอีกอย่างได้ว่า เรากำลังหายใจเอาเมล็ดข้าวที่มีค่า PM2.5 เข้าไปทุกๆ 3 อาทิตย์
มันอาจจะฟังดูไม่ได้เยอะอะไรมาก แต่เพราะว่าอนุภาคเหล่านี้เล็กกว่าความกว้างของเส้นผมมนุษย์ถึง 20 เท่า มันจึงเยอะอยู่นะ! และอนุภาคเหล่านี้รวมถึงขยะที่เป็นพิษอย่างถ่านหินและสารหนู
เราหายใจเอาอนุภาคเหล่านี้จากที่ไหน
เราสามารถจำแนกตัวเลขเหล่านี้ออกเป็น 4 แห่งตามสถานที่ที่เราใช้เวลามากที่สุดเพื่อจะหาว่าสถานที่ไหนเป็นสถานที่ที่เราสูดอากาศเอามลพิษเข้าไปในร่างกายมากที่สุด
นี่คือปัจจัยหลักที่เราใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณครั้งนี้:
- ระยะเวลาที่เราใช้ในสถานที่เหล่านั้น
- ปริมาณอากาศที่เราสูดหายใจเข้าไปต่อหนึ่งนาทีในแต่ละสถานที่
- ค่าความเข้มข้นของ PM2.5 ในแต่ละสถานที่
จากพายชาร์ต มันมีหลายสิ่งที่สามารถชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ข้อเท็จจริง #1
ถึงแม้ว่าเราจะใช้เวลาที่บ้านมากที่สุด แต่มันกลับไม่ใช่สถานที่ที่เราสูดเอา PM2.5 เข้าไปในร่างกายมากที่สุด งานวิจัยพบว่า เราหายใจเอาอากาศที่เป็นมลพิษเข้าไปในร่างกายขณะเดินมากกว่าขณะนอนหลับถึง 6 เท่า ดังนั้น มันก็หมายความว่าเมื่อเรานอนอยู่ที่บ้าน เราหายใจเอามลพิษเข้าไปน้อยเช่นกัน
ข้อเท็จจริง #2
ข้อเท็จจริง #1 บอกว่า มันหมายความว่าแม้ว่าเราจะอยู่สถานที่กลางแจ้งแค่แปปเดียว แต่จริงๆแล้วเราหายใจเอามลพิษเข้าไปมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ! ประกอบกับความจริงที่ว่าข้างนอกมีมลภาวะมากขึ้น เราจึงกำลังหายใจเอามลภาวะภายนอกในแต่ละวันเข้าไปในร่างกายเกือบหนึ่งในสามเลยทีเดียว (31% จากแผนภูมิวงกลม)
สรุป
เราใช้เวลากว่า 90% อยู่บ้านและบริษัท เราจึงลดการสูดมลพิษได้ถึง 60% ด้วยการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ แต่หากเราอยู่กลางแจ้งก็ควรใส่หน้ากาก เราจะสามารถลดการสูดมลพิษได้ถึง 31%
เกี่ยวกับ Smart Air
Smart Air เป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่ได้รับการยอมรับโดย B corp ซึ่งเป็นการรับรองมาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงมิติทางสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับตำนานที่บริษัทใหญ่ๆที่หวังเพิ่มราคาอากาศบริสุทธิ์
อุตสาหกรรมเครื่องฟอกอากาศนั้นเต็มไปด้วยความต้องการที่จะทำให้อากาศบริสุทธิ์ซับซ้อนและมีราคาแพงเกินความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อากาศบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ไม่ซับซ้อนเลย เพราะสิ่งเดียวที่ต้องการคือพัดลมและแผ่นกรองอากาศ
บริษัทใหญ่ๆไม่สามารถได้กำไรจากความเรียบง่าย ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่มลูกเล่นที่ไม่จำเป็นลงไปในเครื่องจักรของเขา
Smart Air ผลิตเครื่องฟอกอากาศแบบเรียบง่ายที่มีการแจกจ่ายข้อมูลอย่างเปิดเผยรองรับการทำงานของเครื่องฟอกอากาศและประสิทธิภาพการทำงานของมันโดยการตัดลูกเล่นทางการตลาดที่แปลกใหม่ออกไป เช่น เครื่องสร้างประจุไอออนและหลอด UV ที่อาจทำให้อากาศของคุณแย่ลง เราสามารถทำให้มีอากาศสะอาดมากขึ้นโดยที่ค่าใช้จ่ายนั้นมีราคาเพียงเศษเสี้ยวของค่าใช้จ่ายที่ “พวกบริษัทใหญ่” จะเรียกเก็บเงินจากคุณ
ติดตามและเพิ่มเราเป็นเพื่อนบนโซเชียลมีเดียเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม