อาจเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า เมื่อไหร่เราควรเปลี่ยนแผ่นกรอง HEPA เพียงใช้ตาสังเกตจะบอกไม่ได้ เพราะการมองผ่านๆไม่สามารถวัดประสิทธิภาพการกรองได้จริงๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบประสิทธิภาพของแผ่นกรอง HEPA และเมื่อไหร่เราควรเปลี่ยนแผ่นกรองได้แล้ว คือการใช้เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศ
ทำไมต้องเครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศ
ปกติแล้วบริษัทเครื่องฟอกอากาศจะบอกว่า ในเวลากี่เดือนๆ เราถึงควรเปลี่ยนแผ่นกรอง HEPA แต่ปัญหาคือคำแนะนำเหล่านั้นไม่ได้มีที่มาที่ไปจริงๆว่าทำไมถึงต้องเป็นระยะเวลานั้นๆ เพราะระยะเวลาการใช้งานของ HEPA จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น คุณภาพอากาศภายนอก และความถี่ในการใช้เครื่องฟอกอากาศ
นอกจากนี้การประเมินประสิทธิภาพของ HEPA จากสภาพก็ไม่ได้ง่ายนัก โดยรูปด้านล่างนี้คือรูปของ HEPA ที่ใช้ในการทดสอบเครื่องฟอกอากาศ DIY เป็นเวลา 200 วัน ซึ่งในวันที่ 90 แผ่นกรองค่อนข้างสกปรกแล้ว แต่ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าแผ่นกรองมีประสิทธิภาพลดลงเพียง 4% เท่านั้น และในวันที่ 200 ประสิทธิลดลงไปถึง 50%
ดังนั้นแทนที่จะไปดูหรืออาศัยคำแนะนำจากผู้ผลิตที่อาจมีแรงจูงใจให้ลูกค้าเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศบ่อยขึ้น การใช้เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศจะให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับสถานะของตัวกรอง HEPA ของคุณ
อ่านเพิ่มเติม: ปัญหาเกี่ยวกับคำแนะนำในการเปลี่ยนแผ่นกรอง HEPA จากบริษัทเครื่องฟอกอากาศ
ควรใช้เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศแบบไหน
อนุภาคที่อันตรายที่สุดในอากาศมักจะเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งอนุภาคที่มีขนาดต่ำกว่า 2.5 ไมครอน มีชื่อเรียกว่า PM2.5 เป็นอนุภาคอันตรายขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดและอวัยวะต่างๆในร่างกายของเราได้ และทำให้ก่อเกิดปัญหาสุขภาพมากมาย
ด้วยเหตุนี้ เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศ PM2.5 จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ดีที่สุดในการรับประกันว่าอากาศปลอดภัยหรือไม่ และใช้เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแผ่นกรอง HEPA ในการกำจัดอนุภาคต่างๆ
โชคดีที่เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ PM2.5 ที่แม่นยำไม่ได้มีราคาแพง เพราะการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ PM2.5 ที่ดีก็มีราคาถูกได้เช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์ของ Smart Air หรือคุณ Paddy ใช้ Laser Egg Kaiterra ซึ่งมีราคาต่ำกว่า 5,000 บาท
หากคุณกำลังมองหาเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ PM2.5 ลองดูบทความที่เราสำรองข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศที่ดีที่สุดในตลาดได้จากลิ้งค์ด้านล่างนี้
อ่านเพิ่มเติม: เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศ PM2.5 ที่ดีที่สุดในปี 2021
สองวิธีใช้เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศ PM2.5 เพื่อทดสอบแผ่นกรอง HEPA
วิธีแรกเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุด แต่มีความผิดพลาด แม้จะต้องลงแรงมากกว่าแต่วิธีที่ 2 ช่วยให้มองทราบประสิทธิภาพที่ลดลงของ HEPA ได้อย่างแม่นยำกว่า
วิธีที่ 1: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระดับคุณภาพอากาศอยู่ในระดับ “ปลอดภัย”
วิธีที่หนึ่งคือ การใช้เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศเพื่อทดสอบระดับคุณภาพอากาศภายในอาคารเป็นระยะๆ เมื่อแผ่นกรอง HEPA ไม่สามารถกรองอากาศให้อยู่ในระดับ “ปลอดภัย” ได้อย่างก่อน นั่นแปลว่าถึงเวลาเปลี่ยนแผ่นกรองแล้ว องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำขีดจำกัดประจำปีของ PM2.5 อยู่ที่ 10 ไมโครกรัม ซึ่งตามหลักการแล้วเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA สามารถลดระดับคุณภาพอากาศให้ต่ำกว่าขีดจำกัดนี้ได้ หากไม่เป็นเช่นนั้นก็จำเป็นต้องใช้เครื่องฟอกอากาศที่แรงขึ้น หรือใช้เครื่องฟอกอากาศหลายเครื่องเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ต้องการ
อ่านเพิ่มเติม: ห้าขั้นตอนในการเลือกเครื่องฟอกอากาศ
จอภาพแสดงระดับคุณภาพอากาศที่อยู่ใกล้เคียงขีดจำกัดบนของคำแนะนำของ WHO (10 ไมโครกรัมหรือ 42 AQI)
เมื่อเครื่องกรองอากาศไม่สามารถกรองอากาศให้อยู่ในระดับต่ำกว่าขีดจำกัดได้ นี่อาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าถึงเวลาควรเปลี่ยนแผ่นกรอง
แม้ว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบคุณภาพอากาศเพื่อทดสอบแผ่นกรอง HEPA ก็จริง แต่ก็มีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกัน อย่างแรก ขีดจำกัดที่แนะนำสำหรับ PM2.5 นับเป็นเรื่องทั่วไป ในความเป็นจริงมลพิษอากาศ PM2.5 มีความคล้ายกับตะกั่ว เพราะมันไม่มีระดับ “ปลอดภัย” ที่วัดได้อย่างจริงจัง เนื่องจากระดับที่ต่ำกว่า 10 ไมโครกรัมก็สามารถส่งผลต่อสุขภาพได้อย่างมากแล้ว
อ่านเพิ่มเติม: สาเหตุที่คำแนะนำของ WHO เกี่ยวกับคุณภาพอากาศไม่ปลอดภัย
วิธีที่ 2: เปรียบเทียบระดับคุณภาพอากาศโดยใช้แผ่นกรองใหม่
วิธียอดนิยมใช้ในการทดสอบแผ่นกรอง HEPA ของเครื่องฟอกอากาศต้องอาศัยการปฏิบัติจริง นั่นก็คือการทดสอบคุณภาพอากาศขณะที่ใช้ HEPA ชิ้นใหม่แกะกล่อง ซึ่งต้องตรวจสอบเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ได้ค่าพื้นฐานว่าแผ่นกรอง HEPA นั้นมีประสิทธิภาพแค่ไหน เมื่อใช้แผ่นกรอง HEPA และพบว่ามีประสิทธิภาพลดลง เราจึงสามารถนำไปเปรียบเทียบระดับคุณภาพอากาศกับค่าพื้นฐานนี้ได้
เช่น กราฟด้านล่างนี้คือข้อมูลที่รวบรวมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแผ่นกรองจากเครื่องฟอกอากาศ DIY ของ Smart Air ซึ่งเห็นได้ว่าประสิทธิภาพ “พื้นฐาน” ของแผ่นกรองนี้ลดระดับอนุภาคลง ประมาณ 90% และแน่นอนว่าการรวบรวมข้อมูลจำนวนมากนี้อาจดูเกินจริงไปหน่อย แต่ประเด็นคือการตรวจสอบแผ่นกรองเป็นระยะๆเพื่อดูว่าประสิทธิภาพเป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับค่าพื้นฐาน
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือระดับคุณภาพอากาศภายนอกอาคารอาจผันผวนเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับคุณภาพอากาศภายในอาคาร ดังนั้นจึงแนะนำให้นำเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศออกไปข้างนอกและตรวจสอบคุณภาพอากาศภายนอกอาคาร เพื่อให้แน่ใจว่ามีการเปรียบเทียบระดับคุณภาพอากาศภายนอกอาคารที่ใกล้เคียงกัน
หากถามว่า ประสิทธิภาพต้องลดลงขนาดไหนถึงควรเปลี่ยนแผ่นกรอง HEPA คำตอบคือ ไม่มี “จุดกำหนด” ที่แน่ชัด ทางที่ดีคือเปลี่ยนแผ่นกรองเมื่อเห็นได้ชัดว่าแผ่นกรองไม่สามารถรับระดับคุณภาพอากาศได้อย่างสม่ำเสมอเท่าที่ควรได้แล้ว
ออฟฟิศ Smart Air ใช้จอภาพ IQAir AirVisual Pro และเครื่องฟอกอากาศ Blast และ Blast Mini
สรุป: ใช้เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศในการตรวจสอบ HEPA
สุดท้ายนี้เป็นการพูดถึงต้นทุนในการเปลี่ยนแผ่นกรอง ยิ่งเปลี่ยนแผ่นกรองบ่อยเท่าไหร่ เครื่องฟอกอากาศก็ยิ่งกรองอากาศได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นไปด้วยเช่นกัน ซึ่งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ PM2.5 จะทำให้เราทราบอย่างแน่ชัดว่าแผ่นกรอง HEPA ยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่ ซึ่งจะให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เพียงการสังเกตด้วยตาเปล่าอย่างที่เราอาจทำกัน
ข้อควรระวัง
ข้อควรระวังในการใช้เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศเพื่อทดสอบแผ่นกรอง HEPA ได้แก่:
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณภาพอากาศภายนอกอาคารไม่สูงกว่าปกติ เพราะอาจทำให้แผ่นกรองมีประสิทธิภาพแย่ลงไปด้วยหากคุณภาพอากาศภายนอกไม่ดี
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องฟอกอากาศวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- หาก HEPA มีแผ่นกรองขั้นต้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ดูดฝุ่นแผ่นกรองชั้นแรกอยู่เป็นระยะๆ ไม่เช่นนั้น แผ่นกรองขั้นต้นที่สกปรกอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการกรองของ HEPA