เครื่องฟอกอากาศ UV เป็นอีกหนึ่งวิธีการแก้ปัญหาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า โคมไฟฆ่าเชื้อ ซึ่งมันได้รับการโฆษณาว่าสามารถฆ่าไวรัสได้มากถึง 99.9% แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องฟอกอากาศ UVจะสามารถป้องกันเชื้อโรคโควิด 19 และไวรัสอื่นๆได้จริงหรือไม่
เครื่องฟอกอากาศ UV ทำงานอย่างไร
ด้วยเงื่อนไขการใช้คำว่า การฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV และ การใช้รังสี UV ฆ่าเชื้อรา มักจะใช้ในการอ้างถึงเครื่องฟอกอากาศ UV ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการทำงานของมันเป็นอะไรที่ธรรมดามาก เพราะว่า พวกมันทำงานโดยการใช้รังสี UVในการฆ่าเชื้อไวรัสและการทำให้อากาศ’ปราศจากเชื้อ’ เท่านั้นเอง
นักการตลาดเครื่องฟอกอากาศมักจะใช้ชื่อที่ทำให้ดูหวือหวาในการอธิบายเทคโนโลยีที่ใช้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันเป็นอะไรที่ธรรมดาๆเลย
รังสี UV คืออะไรและมันสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้อย่างไร สามารถอ่านรายละเอียดต่อเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ได้ที่นี่
ปัญหาของเครื่องฟอกอากาศ UVในตลาด
คำถามก็คือ รังสีUVที่อยู่ในเครื่องฟอกอากาศUVนั้นมีกำลังความสามารถพอที่จะฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าได้จริงหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ได้นำเสนอปริมาณที่ต้องการในการฆ่าเชื้อไวรัสนั้นอยู่ที่ 75mJ/cm2 ซึ่งจะสามารถฆ่าเชื้อโควิด19ได้มากกว่า 99.9%
หลังจากการวิเคราะห์ Taobao หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน เราพบข้อมูลเกี่ยวกับความแข็งแรงของรังสีUV สำหรับเครื่องฟอกอากาศ UV ทั้ง3เครื่อง ซึ่งรวมถึงเครื่องฟอกอากาศจาก Samsung อยู่ด้วย
ค่าเฉลี่ยพลังงานของหลอดUVสำหรับเครื่องฟอกอากาศ3ตัวนี้อยู่ที่ 6วัตต์ โดยการใช้กฏเกณฑ์จากประสบการณ์ง่ายๆคือ สำหรับค่าเฉลี่ยระยะ 10 ซม. จากรังสีUV เครื่องฟอกอากาศเหล่านี้จะสามารถให้อัตราเฉลี่ยรังสีUV อยู่ที่ 6mW/cm2
ณ ค่า 6mW/cm2 นั้น รังสีUV ต้องใช้เวลาอย่างน้อยในการฉายรังสีประมาณ 12.5วินาที ในการฆ่าเชื้อไวรัสมากกว่า99.9%
ซึ่งมันไม่ได้ใช้เวลานานเลย แต่อย่างไรก็ตามการที่รู้ถึงความสามารถการไหลเวียนอากาศของเครื่องฟอกอากาศก็จะทำให้เราสามารถประมาณค่าเฉลี่ยที่อากาศไหลผ่านเครื่องฟอกอากาศในระยะเวลา 0.35วินาทีได้ ซึ่งมันนับเป็นแค่ ส่วนแรกจากทั้งหมด36ส่วนของเวลาที่ต้องการใช้ในการฆ่าเชื้อไวรัส
รังสี UV มีพลังไม่มากพอจริงหรือ
อนุภาคที่อยู่ใกล้กับรังสีมากๆ (ห่างเพียง 2ซม.) จะต้องได้รับปริมาณรังสีที่สูงขึ้นมากอยู่ที่ 150 mW/cm2 ซึ่งในระยะนี้มันจะใช้เวลาเพียง 0.5วินาทีในการเชื้อไวรัสมากกว่า 99.9% ซึ่งมันดีกว่ามาก แต่อย่างไรก็ตามยังถือว่าใช้เวลานานไปถ้านับจากการที่อากาศจะไหลอยู่ในเครื่องฟอกอากาศเพียงแค่ 0.35วินาที
ผลลัพธ์: เครื่องฟอกอากาศUVทั่วไปไม่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโควิด 19
แล้วถ้าเป็นเครื่องฟอกอากาศ UV ที่มีความเข้มข้นของรังสีมากๆล่ะ
ในการตอบกลับต่อโรคโควิด19 บริษัทหน้าใหม่ได้อ้างถึงการใช้ “เครื่องฟอกอากาศรังสีUVเข้มข้น” นี่คือตัวอย่างจากหนึ่งในนั้น:
บริษัทนี้อ้างว่าเครื่องฟอกอากาศUV ของพวกเขาถูกสร้างอย่างพิเศษเพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อไวรัส พวกมันมีความเข้มข้นของรังสีUVถึง 16.8 mW/cm2 เนื่องจาก ‘การเคลือบผิวพิเศษ’ ภายในเครื่องฟอกซึ่งมันมีความเข้มข้นกว่าเครื่องฟอกอากาศUV แบบ’มาตรฐาน’ที่ถูกยกตัวอย่างไปด้านบนถึง 3 เท่า
ณ ค่าความเข้มข้นที่ 16.8 mW/cm2 ไวรัสจะต้องสัมผัสกับรังสีUVเป็นเวลา 4.46วินาทีเพื่อที่จะกำจัดเชื้อไวรัสมากกว่า 99.9% ซึ่งมันก็ดีกว่าเครื่องฟอกอากาศUV อยู่นิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น เพราะว่าอากาศก็ยังคงจำเป็นต้องผ่านเครื่องฟอกอากาศนี้ 15ครั้งเพื่อที่จะให้ไวรัสโควิด19ถูกฆ่ามากกกว่า 99.9%
ผลลัพธ์: แม้ว่าเครื่องฟอกอากาศUVที่’พร้อมฆ่าเชื้อโรคโควิด19’ก็ไม่ได้ให้เวลามากพอที่จะฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าได้จริงๆ
เครื่องฟอกอากาศ UV ข้างต้นมีอะไรที่เหมือนกัน: แผ่นกรอง HEPA
ณ จุดนี้ เรามาย้อนความกัน มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เครื่องฟอกอากาศUV ข้างต้นมีเหมือนกันก็คือ แผ่นกรองHEPA เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็ง่ายมาก เพราะว่าแสงยูวีในเครื่องฟอกอากาศในความเป็นจริงแล้วนั้นไม่มีพลังมากพอที่จะฆ่าเชื้อไวรัสภายในการไหลผ่านของอากาศเพียงครั้งเดียว ในทางกลับกัน แผ่นกรอง HEPA เก่งในด้านการดักจับเชื้อไวรัส และข้อมูลก็แสดงให้เห็นว่ามันสามารถดักจับเชื้อไวรัสได้มากกว่า 99.9% ในการไหลผ่านของอากาศเพียงครั้งเดียว
หรือรังสี UV สร้างมาเพื่อฆ่าเชื้อไวรัสที่ติดอยู่บนแผ่นกรอง HEPA หรือเปล่า
ความพยายามในการกรองอากาศที่ไหลผ่านเครื่องฟอกอากาศอย่างรวดเร็วนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ดังนั้นบางทีเป้าหมายของรังสี UVควรจะเป็นการฆ่าเชื้อไวรัสที่ติดอยู่บนแผ่นกรอง HEPA แทนหรือไม่ และนี่คือการถอดความง่ายๆของเราว่ามันทำงานอย่างไรกันแน่:
แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีปัญหา แผ่นกรอง HEPAคือเส้นใยแบบจีบที่จับกันเป็นแผ่น มันมีแนวโน้มที่เป็นไปไม่ได้ที่โคมไฟรังสีUV จะฉายรังสีไปที่พื้นผิวแผ่นกรอง HEPA ได้และจะสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ทั่วทั้งพื้นผิว
มากไปกว่านั้น รังสีUV ยังเป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ต่างๆเช่นหน้ากากและแผ่นกรอง HEPA
นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด มันยังมีสิ่งอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเครื่องฟอกอากาศ UV
#ข้อ 1 รังสีUVที่สกปรกทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างรวดเร็ว
หากหลอด UV มีฝุ่นเกาะเป็นจำนวนมาก มันก็จะมีผลกระทบขนาดใหญ่ต่อการฉายรังสีของหลอด UV ซึ่งหมายความว่า เครื่องฟอกอากาศ UV จะมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างรวดเร็วและต้องได้รับการทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ
#ข้อ 2 รังสีUVมีราคาสูงกว่า (ในระยะสั้นและระยะยาว)
รังสี UV มีราคาสูงกว่า การเพิ่ม UV ลงไปในเครื่องฟอกอากาศไม่ได้ทำให้เครื่องฟอกอากาศมีราคาสูงขึ้นอย่างเดียว แต่มันทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นอีกด้วย รังสี UV 50วัตต์โดยทั่วไปแล้วจะมีราคาประมาณ 4.32 ดอลลาร์ต่อเดือนหากมันถูกเปิดใช้งานตลอด 24ชั่วโมงต่อวันในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมันเป็นการเปลืองเงินไปกับสิ่งที่ไม่คุ้มค่า
#ข้อ 3 รังสี UV มีความอันตราย
รังสี UV เป็นสิ่งที่อันตราย ในความเป็นจริงแล้วมันคือรังสีที่ทำลายล้างได้มากที่สุดในประเภทของรังสี UV ดังนั้น ทำไมคุณจึงต้องนำสิ่งเหล่านั้นไว้ใกล้ตัวในเมื่อมันคือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกายคุณมากกว่าเป็นประโยชน์ และถึงแม้รังสี UV จะถูกปิดผนึกอยู่ในเครื่องฟอกอากาศมันก็ยังสามารถรั่วไหลออกมาได้อยู่ดี อ้างอิงจากบริษัทที่ขายเครื่องฟอกอากาศสำหรับโควิด 19ที่ถูกพูดถึงด้านบนได้ยอมรับว่ารังสี UV รั่วไหลออกมาจริง
ใช้แผ่นกรอง HEPA ในการกรองอากาศให้บริสุทธิ์ไม่ใช่ใช้รังสี UV ในการฆ่าเชื้อ
แผ่นกรอง HEPA ทำหน้าที่ในการดักจับไวรัสได้อย่างดี ซึ่งข้อมูลได้แสดงให้เห็นว่ามันสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กกว่าเชื้อไวรัสโคโรน่าได้มากกว่า 99.9%ในการไหลผ่านของอากาศครั้งเดียว
นักวิจัยกล่าวว่า รังสี UV ไม่สามารถใช้แทนแผ่นกรองHEPA ได้ แผ่นกรอง HEPA ถูกใช้ที่โรงพยาบาลและสถานที่สำหรับการรักษามาเป็นเวลานาน และมันไม่ถูกแนะนำให้นำรังสีUVมาใช้ทดแทน
สรุป
เครื่องฟอกอากาศUVอ่อนแอเกินกว่าที่จะฆ่าเชื้อไวรัสได้อย่างรวดเร็วพอ มากไปกว่านั้นเครื่องฟอกอากาศUVประกอบไปด้วยแผ่นกรอง HEPA เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งสำคัญของการฆ่าเชื้อไวรัสมากกว่า 99.9% นั้นมาจากการทำงานของแผ่นกรอง HEPA และรังสีUVเป็นเพียงสิ่งที่เพิ่มค่าใช้จ่ายและสามารถเก็บรักษาได้ยาก รวมถึงมันยังทำลายแผ่นกรอง HEPA อีกด้วย ประโยชน์อย่างเดียวที่มีน้อยมากก็คือการกำจัดเชื้อโควิด 19ในอากาศ
เกี่ยวกับ Smart Air
Smart Air เป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่ได้รับการยอมรับโดย B Corp ซึ่งเป็นการรับรองมาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงมิติทางสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับตำนานที่บริษัทใหญ่ๆที่หวังเพิ่มราคาอากาศบริสุทธิ์
อุตสาหกรรมเครื่องฟอกอากาศนั้นเต็มไปด้วยความต้องการที่จะทำให้อากาศบริสุทธิ์ซับซ้อนและมีราคาแพงเกินความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อากาศบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ไม่ซับซ้อนเลย เพราะสิ่งเดียวที่ต้องการคือพัดลมและแผ่นกรองอากาศ
บริษัทใหญ่ๆไม่สามารถได้กำไรจากความเรียบง่าย ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่มลูกเล่นที่ไม่จำเป็นลงไปในเครื่องจักรของเขา
Smart Air ผลิตเครื่องฟอกอากาศแบบเรียบง่ายที่มีการแจกจ่ายข้อมูลอย่างเปิดเผยรองรับการทำงานของเครื่องฟอกอากาศและประสิทธิภาพการทำงานของมันโดยการตัดลูกเล่นทางการตลาดที่แปลกใหม่ออกไป เช่น เครื่องสร้างประจุไอออนและหลอด UV ที่อาจทำให้อากาศของคุณแย่ลง เราสามารถทำให้มีอากาศสะอาดมากขึ้นโดยที่ค่าใช้จ่ายนั้นมีราคาเพียงเศษเสี้ยวของค่าใช้จ่ายที่ “พวกบริษัทใหญ่” จะเรียกเก็บเงินจากคุณ
ติดตามและเพิ่มเราเป็นเพื่อนบนโซเชียลมีเดียเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
Smart Air